ภัยพิบัติส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางและมีรายได้น้อยมากกว่ากลุ่มอื่นจริงหรือไม่

เมื่อภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้น แน่นอนว่าจะต้องมีผู้ได้รับผลกระทบ แต่ทุกท่านทราบกันหรือไม่ว่าคนกลุ่มใดที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภัยพิบัติในแต่ละครั้ง โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก ได้ทำการศึกษาและพบว่ากลุ่มคนเปราะบางและกลุ่มคนมีรายได้น้อยคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งจะส่งผลให้สภาพสังคมและระบบเศรษฐกิจของเมืองได้รับความเสียหายตามไปด้วย

รศ.ดร.พนิต ภู่จินดา หัวหน้าภาควิชาวางแผนภาคผังเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายกสมาคมนักผังเมืองไทย ที่สำคัญเป็น Center of Focus หรือที่ปรึกษาให้กับบริษัท เบดร็อค อนาไลติกส์ จำกัด (Bedrock) ได้นำสาระความรู้เกี่ยวกับความท้าทายของเมืองที่หลายคนอาจมองข้ามไปมาเล่าให้ฟังผ่าน Podcast ช่องเมือง-หมา-นุด โดยในวันนี้ก็ได้แก่เรื่องภัยพิบัติมักจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนมีรายได้น้อยหรือกลุ่มเปราะบางมากกว่ากลุ่มอื่น แล้วผู้บริหารเมืองควรจะแก้ไขอย่างไร Bedrock สรุปมาให้แล้วครับ
คนกลุ่มเปราะบางหรือคนกลุ่มมีรายได้น้อยคือฟันเฟืองสำคัญที่ผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารเมืองจะต้องให้ความสนใจ เนื่องจากมักเป็นกลุ่มใช้แรงงานหรือกลุ่มทำงานบริการต่าง ๆ ที่มีบทบาทในการเป็นกำลังสำคัญของเมืองในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งหากคนกลุ่มนี้ต้องเผชิญกับผลกระทบจากภัยพิบัติที่เพิ่มมากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถหลีกหนีได้ ก็จะส่งผลกระทบต่อสภาพสังคมและระบบเศรษฐกิจตามไปด้วย ฉะนั้นจะแก้ปัญหาหรือความท้าทายนี้อย่างไร UNEP ได้ให้คำแนะนำไว้ 3 ประการ ดังนี้
1. ต้องทำให้ไม่มีคนกลุ่มเปราะบางหรือมีรายได้น้อย
คนกลุ่มเปราะบางหรือมีรายได้น้อย มักจำเป็นต้องกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากที่ดินในพื้นที่เศรษฐกิจและปลอดภัยมักมีผลตอบแทนหรือมีมูลค่าทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ทำให้ราคาที่ดินเหล่านี้สูงเกินที่คนกลุ่มมีรายได้น้อยจะมีศักยภาพมากพอที่ครอบครองพื้นที่หรืออยู่อาศัย จึงทำให้ลดโอกาสในการป้องกันตัวเองหรือหลีกหนีต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ ดังนั้นการออกแบบผังเมืองและการจัดสรรพื้นที่ที่เหมาะสมในการพัฒนาเมือง จึงช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และสร้างความเท่าเทียมกันให้คนทุกกลุ่มได้

2. ไม่มีความหิวโหยหรือลดการขาดแคลนอาหาร
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก คาดการณ์ไว้ว่าในปี ค.ศ.2030 อาหารอาจจะเลี้ยงคนได้เพียงครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมดในโลกเท่านั้น อันเนื่องมาจากภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ไม่ว่าจะเป็น ฝนตกไม่ตรงตามฤดูกาล ฝนตกมากเกินไปจนเกิดน้ำท่วม เกิดแผ่นดินไหว เป็นต้น สถานการณ์เหล่านี้ทำให้การเพาะปลูกพืช การทำประมง รวมถึงการทำปศุสัตว์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ไม่สามารถผลิตวัตถุดิบได้เท่าเดิมหรือเพียงพอต่อการใช้ชีวิตของประชากรทั้งโลกได้ ไม่เพียงเท่านั้นการที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ก็จะทำให้คุณภาพของน้ำที่บริโภคได้น้อยลงตามไปด้วย และแน่นอนกลุ่มคนที่มีโอกาสในการเข้าถึงอาหารและน้ำดื่มได้น้อยที่สุดก็คือคนกลุ่มเปราะบางหรือมีรายได้น้อยนั่นเอง แล้วจะทำอย่างไรที่จะบริหารจัดการเมือง เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้

3. สร้างสุขภาพดีควบคู่กับคุณภาพชีวิตที่ดี
สุขภาพดีและคุณภาพชีวิตที่ดีคือสิ่งพื้นฐานที่มนุษย์ควรจะได้รับ ซึ่งประกอบไปด้วย อากาศสะอาด น้ำสะอาด อาหารที่มีคุณภาพเหมาะสมกับสุขภาพร่างกาย รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นพิษต่อประชาชน ซึ่งคนที่มีรายได้น้อยย่อมเข้าถึงสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีได้น้อยกว่ากลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลางและรายได้สูง เนื่องจากหลายเมืองไม่ได้ออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค สาธารณูปการ รวมถึงการบริการสาธารณะต่าง ๆ มาเพื่อรองรับคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงยังไม่สามารถเข้าถึงอาหารและน้ำที่มีคุณภาพได้ตามที่เล่าไป อีกทั้งกลุ่มคนมีรายได้น้อยยังถูกผลักดันให้อยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติด้วย จึงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้คนกลุ่มนี้ขาดโอกาสที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพที่ดีได้ ตลอดจนหลายคนอาจมองว่ากลุ่มคนมีรายได้น้อยเป็นส่วนหนึ่งของการบุกรุกและทำลายสิ่งแวดล้อมอยู่ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วหากมีการออกแบบเมืองและบริหารจัดการเมืองที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตแบบคุณภาพดีให้คนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น การส่งเสริมอาชีพเพื่อรายได้ที่มั่นคง การทำให้บริการสาธารณะเข้าถึงง่าย การจัดสรรพื้นที่อย่างเหมาะสม มีแนวทางในการควบคุมและดูแลราคาสินค้าที่เป็นกลางและเป็นธรรม มีการเผยแพร่ความรู้และความเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม เป็นต้น จะทำให้คนมีรายได้น้อยมีโอกาสที่จะย้ายออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติหรือพื้นที่ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมไปสู่พื้นที่ปลอดภัยเหมาะสมกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นได้ ก็จะส่งผลให้พวกเขามีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามไปด้วย

คงจะเห็นภาพรวมกันแล้วว่าคนกลุ่มเปราะบางหรือมีรายได้น้อยคือกลุ่มคนสำคัญที่ท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นไม่ควรมองข้าม ดังนั้นการบริหารจัดการเมืองแบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังควบคู่ไปกับการสร้างความเท่าเทียมกันคือเรื่องสำคัญที่สุด หากเลือกทิ้งกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไว้ ก็จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมด้วยนั่นเอง
และในปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จึงมีนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีอัจฉริยะจำนวนมากที่จะช่วยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถบริหารจัดเมืองแบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังได้อย่างมีศักยภาพ หากท้องถิ่นใดที่สนใจสามารถติดต่อ บริษัท เบดร็อค อนาไลติกส์ จำกัด (Bedrock) ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาและวางแผนแม่บทการพัฒนาด้านดิจิทัลให้กับเมือง พร้อมให้บริการแพลตฟอร์มเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับที่ตั้ง และการบริหารจัดการเมืองทั้งในเชิงยุทธศาสตร์ การดำเนินงาน เทคโนโลยี และการตัดสินใจ โดยสามารถติดต่อที่อีเมล: contact@bedrockanalytics.ai หรือ Line หรือ Facebook
ขอบคุณข้อมูล:
Podcast ช่องเมือง-หมา-นุด EP178: 3 เป้าหมายในการแก้ปัญหาคนยากจนกับปัญหาสิ่งแวดล้อม โดย รศ.ดร.พนิต ภู่จินดา